กล้วย เป็นพรรณไม้ล้มลุกในสกุล Musa มีหลายชนิดในสกุล
บางชนิดก็ออกหน่อแต่ว่าบางชนิดก็ไม่ออกหน่อ ใบแบนยาวใหญ่
ก้านใบตอนล่างเป็นกาบยาวหุ้มห่อซ้อนกันเป็นลำต้น ออกดอกที่ปลายลำต้นเป็น ปลี
และมักยาวเป็นงวง มีลูกเป็นหวี ๆ รวมเรียกว่า เครือ พืชบางชนิดมีลำต้นคล้ายปาล์ม
ออกใบเรียงกันเป็นแถวทำนองพัดคลี่ คล้ายใบกล้วย เช่น กล้วยพัด (Ravenala
madagascariensis) ทว่าความจริงแล้วเป็นพืชในสกุลอื่น
ที่มิใช่ทั้งปาล์มและกล้วย
ลำต้น
กล้วยมีลำต้นอยู่ใต้ดินเรียกว่า
หัว หรือ เหง้า (rhizome) ที่หัวมีตา
(bud) ซึ่งจะเจริญเป็นต้นเกิด
หน่อ (sucker) หลายหน่อ
เรียกว่า การแตกกอ หน่อที่เกิด
หรือต้นที่เห็นอยู่เหนือดิน ความจริงแล้วมิใช่ลำต้น เราเรียกว่า ลำต้นเทียม(pseudostem) ส่วนนี้เกิดจากการอัดกันแน่นของกาบใบ
ที่เกิดจากจุดเจริญของลำต้นใต้ดิน กาบใบจะชูก้านใบ และใบ และที่จุดเจริญนี้
จะมีการเจริญเป็นดอกตามขึ้นมาหลังจากสิ้นสุดการเจริญของใบ ใบสุดท้ายก่อนการเกิดดอก
เรียกว่า ใบธง
ใบสุดท้ายก่อนเกิดดอก เรียกว่า ใบธง
ดอก
ดอกของกล้วยออกเป็นช่อ
(inflorescence) ในช่อดอกยังมีกลุ่มของช่อดอกย่อยเป็นกลุ่มๆ ระหว่างกลุ่มของช่อดอกย่อยแต่ละช่อจะมีกลีบประดับ
หรือที่เราเรียกกันว่า กาบปลี (bract) มีสีม่วงแดงกั้นไว้
กลุ่มดอกเพศเมียอยู่ที่โคน และกลุ่มดอกเพศผู้อยู่ที่ปลาย เป็นส่วนที่เราเรียกว่า
หัวปลี (male bud) ระหว่างกลุ่มดอกเพศเมีย
และดอกเพศผู้ มีดอกกะเทย แต่บางพันธุ์ก็ไม่มี
ในช่อดอกย่อยแต่ละช่อมีดอกเรียงซ้อนกันอยู่ ๒ แถว ถ้าเป็นดอกเพศเมีย
ดอกเหล่านี้จะเจริญต่อไปเป็นผล
ผล
ผลกล้วยเกิดจากดอกเพศเมีย
ซึ่งอยู่ที่โคน กลุ่มของดอกเพศเมีย ๑ กลุ่ม เจริญเป็นผล เรียกว่า
๑ หวี ช่อดอกเจริญเป็น ๑ เครือ ดังนั้นกล้วย ๑
เครืออาจมี ๒ - ๓ หวี หรือมากกว่า ๑๐ หวี ทั้งนี้แล้วแต่พันธุ์กล้วยและการดูแล
ผลของกล้วยมีการเจริญได้โดยไม่ต้องผสมพันธุ์ จึงทำให้กล้วยส่วนใหญ่ไม่มีเมล็ด
เมล็ด
เมล็ดกล้วยมีลักษณะกลมเล็ก
บางพันธุ์มีขนาดใหญ่ เปลือกหนา แข็ง มีสีดำ
ราก
เป็นระบบรากฝอย
แผ่ไปทางด้านกว้างมากกว่าทางแนวดิ่งลึก
ใบ
ใบกล้วยมีลักษณะเป็นแผ่นใบใหญ่
มีความกว้างประมาณ ๗๐ - ๙๐ เซนติเมตร ความยาว ๑.๗ - ๒.๕ เมตร ปลายใบมน
รูปใบขอบขนาน โคนใบมน และแผ่นใบมีสีเขียว
ประโยชน์ของกล้วย
1. การใช้ประโยชน์ในการบริโภค
กล้วยเป็นผลไม้ที่มีเปลือกหุ้มเช่นเดียวกับผลไม้อื่นๆ
แต่วิธีการปอกเปลือกกล้วยนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือ
เพียงใช้มือเด็ดปลายหรือจุก ก็สามารถปอกเปลือกได้ด้วยมือและรับประทานได้ทันที
จึงเป็นผลไม้ที่รับประทานง่าย ดังคำโบราณว่า "ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก"
นอกจากปอกเปลือกง่ายแล้ว กล้วยสุกเมื่อรับประทานแล้ว ก็จะลื่นลงกระเพาะได้ง่าย
และย่อยง่าย ด้วยเหตุที่กล้วยลื่นลงกระเพาะได้ง่าย
ทำให้บางคนไม่ค่อยเคี้ยวกล้วยซึ่งเป็นวิธีการที่ผิด
การรับประทานกล้วยจำเป็นต้องเคี้ยวให้ละเอียด เพราะกล้วยมีแป้งร้อยละ ๒๐ - ๒๕
ของเนื้อกล้วย ถ้าเคี้ยวไม่ละเอียด น้ำย่อยในกระเพาะต้องทำงานหนัก
หากย่อยไม่ทันกล้วยจะอืดในกระเพาะ อย่างไรก็ตาม
กระเพาะของคนใช้เวลาในการย่อยกล้วยสั้นกว่าการย่อยส้ม นม กะหล่ำปลี หรือแอปเปิล
ดังนั้นคนไทยจึงนิยมใช้กล้วยที่ขูดเอาแต่เนื้อ ไม่เอาไส้ บดละเอียดให้ทารกรับประทาน
นอกจากทารกแล้ว คนชราก็รับประทานกล้วยได้ดีเช่นกัน ในกรณีคนหนุ่มสาว
กล้วยเหมาะสำหรับคนที่ต้องการลดความอ้วน เนื่องจากกล้วยมีคุณค่าทางอาหารสูงพอๆ
กับมันฝรั่ง แต่มีปริมาณไขมัน คอเลสเตอรอล และเกลือแร่ต่ำ
กล้วยมีโซเดียมเพียงเล็กน้อย แต่มีโพแทสเซียมสูง
การมีโพแทสเซียมสูงนี้จะช่วยลดความดันโลหิตลงได้ ในประเทศอินเดียมีความเชื่อว่า
หากรับประทานกล้วย ๒ ผลต่อวัน จะสามารถลดความดันโลหิตได้ถึงร้อยละ ๑๐
ภายในระยะเวลา ๑ สัปดาห์
กล้วยยังเป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร
และท้องเสียบ่อย เพราะสามารถช่วยลดแก๊สในกระเพาะอาหารได้
กล้วยเมื่อยังดิบจะมีแป้งมาก แต่เมื่อสุก แป้งจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาล
ดังนั้นหากท้องเดิน การกินกล้วยดิบจะช่วยทำให้อาการท้องเดินหยุดได้
และเมื่อเป็นโรคกระเพาะ ให้กินกล้วยที่สุกแล้ว สำหรับกล้วยที่ทำให้สุกด้วยความร้อน
วิตามินจะลดลง
2. การใช้ประโยชน์ในพิธีกรรมต่างๆ
และในชีวิตประจำวัน
- ในพิธีทางศาสนา เช่น
การเทศน์มหาชาติ และการทอดกฐิน มักใช้ต้นกล้วยประดับธรรมาสน์ และองค์กฐิน
- ในพิธีตั้งขันข้าว
หรือค่าบูชาครูหมอตำแย สำหรับผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ และไปขอให้หมอตำแยทำคลอดให้
จะต้องใช้กล้วย ๑ หวี พร้อมทั้งข้าวสาร หมากพลู
ธูปเทียนสำหรับการทำพิธีบูชาครูก่อนคลอด และเมื่อคลอดแล้ว จะต้องอยู่ไฟ
ก็ยังใช้ต้นกล้วยทำเป็นท่อนล้อมเตาไฟ ป้องกันการลามของไฟ
- ในพิธีทำขวัญเด็ก เมื่อเด็กอายุได้
๑ เดือน กับ ๑ วัน มีการทำขวัญเด็กและโกนผมไฟ จะมีกล้วย ๑ หวี
เป็นส่วนประกอบในพิธีด้วย
- ในพิธีแต่งงาน
มักมีต้นกล้วยและต้นอ้อยในขบวนขันหมาก พร้อมทั้งมีขนมกล้วย และกล้วยทั้งหวี
เป็นการเซ่นไหว้เทวดาและบรรพบุรุษ
ในการปลูกบ้าน
เมื่อมีพิธีทำขวัญยกเสาเอก จะใช้หน่อกล้วยผูกมัดไว้ที่ปลายเสาร่วมกับต้นอ้อย
และเมื่อเสร็จพิธี ก็จะมีการลาต้นกล้วยและต้นอ้อยนั้น นำมาปลูกไว้ในบริเวณบ้าน
จากนั้นประมาณ ๑ ปี หรือเมื่อปลูกบ้านเสร็จแล้วพร้อมอยู่อาศัย ก็มีกล้วยไว้กินพอดี
- ในงานศพ ในสมัยโบราณ มีการนำใบตอง
มารองศพ ก่อนนำศพวางลงในโลงนอกจากนี้ ใบตองยังมีบทบาทสำคัญมากในพิธีกรรมต่างๆ
โดยการนำมาทำกระทงใส่ของ ใส่ดอกไม้ และประดิษฐ์เป็นกระทง บายศรี
- ในชีวิตประจำวัน
ใช้ใบตองในการห่อผักสดและอาหาร เนื่องจากใบตองสดมีความชื้น
ดังนั้นเมื่อใช้ห่อผักสดหรืออาหาร ความชื้นจะช่วยรักษาผักหรืออาหารให้สดอยู่เสมอ
นอกจากนี้ใบตองยังทนทานต่อความเย็นและความร้อน
ดังนั้นเมื่อนำใบตองห่ออาหารแล้วเอาไปปิ้ง นึ่ง ต้ม
ใบตองก็จะไม่สลายหรือละลายเหมือนเช่นพลาสติก
จึงมีอาหารหลายอย่างที่ห่อใบตองแล้วนำไปนึ่ง เช่น ห่อหมก ข้าวต้มผัด ขนมกล้วย
ขนมตาล ขนมใส่ไส้ หรือเอาไปปิ้ง เช่น ข้าวเหนียวปิ้ง หรือนำไปต้ม เช่น ข้าวต้มมัด
หรือข้าวต้มจิ้ม อาหารเหล่านี้เมื่อนำไปต้ม ปิ้ง หรือนึ่งแล้ว
ยังทำให้เกิดความหอมของใบตองอีกด้วย สำหรับใบตองแห้ง นำมาใช้ทำกระทงเพื่อใส่อาหาร
ห่อกะละแม มวนบุหรี่ โดยใบตองแห้งก็จะมีกลิ่นหอมเช่นกัน
ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้มีการทดลองนำเอาใบตองแห้งมาอัดกันแน่นหลายๆ ชั้น
ทำเป็นภาชนะใส่ของแทนการใช้โฟมได้อีกด้วย
ที่มา :
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น