หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ที่มาและความสำคัญของโครงงาน


    ในปัจจุบันนี้อาหารแต่ละอย่างที่คนเรานำมารับประทานนั้นมีทั้งประโยชน์และโทษ ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็นิยมหันมารับประทานผักมากขึ้นและปลีกล้วยก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เพราะในปลีกล้วยมีทั้งวิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัสและเบตาแคโรทีน ซึ่งมีธาตุเหล็กอยู่มาก ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร เป็นอาหารบำรุงน้ำนมของผู้หญิงหลังคลอด หากเป็นหญิงหลังคลอด "ปลีกล้วย" ถือว่าเป็นอาหารที่ช่วยได้ น้ำคั้นจากหัวปลีกล้วยมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด ปลีกล้วยจึงเป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ลดไข้ระดู ทำให้เลือดสมบูรณ์ บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง มีกากใยอาหารมากทำให้ระบบขับถ่ายทำให้กระเพาะอาหารและลำไส้ทำงานหนักลดลง ขับพิษสูงและร่างกายสร้างสารภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้นกว่าปกติ แต่เมื่อหั่นปลีกล้วยไว้ปลีกล้วยก็จะเกิดการคล้ำถึงดำ เพราะในปลีกล้วยมีสารประกอบอย่างหนึ่งชื่อว่าสารประกอบฟีนอลทำปฏิกิริยากับผิวของปลีกล้วย เมื่อดำทำให้ดูแล้วไม่น่ารับประทาน
      คณะผู้จัดทำเห็นผู้คนในท้องถิ่นนำส้มแขกมาใช้ในการแก้ปัญหานี้ และคณะผู้จัดทำก็ให้ความสนใจกับส้มแขกมาก เพราะส้มแขกหาได้ง่ายทางภาคใต้ แล้วมีกรดซิตริก กรดทาทาร์ริก กรดมาลิก และ กรดแอสคอร์บิก กรดไฮดรอกซีซิตริก และ ฟลาโวนอยด์ ทำให้ ลดความอ้วน เพราะ มีคุณสมบัติในการยับยั้งเอนไซม์ในกระบวนการสร้างไขมันจากการบริโภคอาหาร ที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง ทำให้ร่างกายสดชื่นไม่อ่อนเพลียง่ายและมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านเชื้อรา อีกทั้งส้มแขกยังสามารถนำมาประกอบอาหารได้ เช่น แบบดิบก็มักจะมาในรูปของผักที่เป็นเครื่องเคียง เช่นในผัดไทยเป็นต้น รสชาติจะฝาดๆ แต่ถ้านำไปปรุงให้สุก ไม่ว่าจะเป็นต้มยำหัวปลี แกงไก่ใส่หัวปลี รสชาติก็จะนุ่ม มีรสหวานนิดๆ

      ดังนั้นคณะผู้จัดทำจึงมีความสนใจศึกษาเรื่อง "ปฏิกริยาเคมีของออกซิเจนที่มีผลต่อปลีกล้วย" จึงมีความคิดว่าถ้านำส้มแขกมาแก้ปัญหานี้ จะสามารถช่วยชะลอความคล้ำดำและทราบถึงปฏิกริยาเคมีของออกซิเจนที่เกิดขึ้นกับปลีกล้วยได้




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สูตร

<อย่าลืมกดถูกใจด้วยจ้ะ>[อย่าลืมกดถูกใจด้วย]<กดถูกใจด้วยน๊ะ>