หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556

นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยจ้ะ

     ทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย เป็นทีมวอลเลย์บอลหญิงของ ประเทศไทยได้มีการพัฒนาฝีมือการเล่น จนสามารถเข้าร่วมการแข่งขันชิงแชมป์โลกได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ในปี ค.ศ. 1998 และ ค.ศ. 2002 ล่าสุดในปี ค.ศ. 2010 ก็สามารถเข้ารอบสุดท้ายได้ และได้สิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันเวิลด์กรังปรีย์ในส่วนโควต้าทวีปเอเชีย ได้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 เป็นต้นมาถึง ค.ศ. 2010 ยกเว้นปี ค.ศ. 2007 (ถอนทีมไปแข่งกีฬามหาวิทยาลัยโลกที่ไทยเป็นเจ้าภาพ)
     ทีมวอลเลย์บอลหญิงของไทยได้พัฒนาการเล่นมาตลอดได้อันดับ 3 การแข่งขันชิงชนะเลิศแห่งเอเชีย 2 ครั้งและสร้างประวัติศาสตร์เมื่อสามารถเอาชนะทีมจีน 3 - 1 เซตเป็นแชมป์ทวีปเอเชียเป็นครั้งแรกในการแข่งขันชิงชนะเลิศแห่งเอเชียในปี ค.ศ. 2009 ที่สนามกวนเงือ ประเทศเวียดนาม ทำให้ได้โควตาทวีปเอเชียไปแข่งเวิลด์แกรนแชมป์เปี้ยนคัพในปี ค.ศ. 2009
     ปัจจุบันผู้ฝึกสอนของวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย คือ เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร
     รายชื่อนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยชุดปัจจุบัน
     หมายเลข 1 นา วรรณา บัวแก้ว อายุ 32 ปี ตำแหน่งตัวรับอิสระ (ลิเบอโร)

     หมายเลข 2 แป้น ปิยนุช แป้นน้อย อายุ 24 ปี ตำแหน่งตัวรับอิสระ (ลิเบอโร)

     หมายเลข 4 แนน ทัดดาว นึกแจ้ง อายุ 19 ปี ตำแหน่งตบบอลเร็ว

     หมายเลข 5 หน่อง ปลื้มจิตร์ ถินขาว อายุ 30 ปี ตำแหน่งตบบอลเร็ว

     หมายเลข 6 อร อรอุมา สิทธิรักษ์ อายุ 27 ปี ตำแน่งตบบอลหัวเสาหลัก

     หมายเลข 10 กิ๊ฟ วิลาวัณย์ อภิญญาพงศ์ 29 ตำแหน่งบอลหลัก

     หมายเลข 11 แจ๊ค อำพร หญ้าผา อายุ 28 ปี ตำแหน่งบอลเร็ว

     หมายเลข 12 บะหมี่ ฐาปไพพรรณ ไชยศรี อายุ 24 ปี ตำแหน่งบอลหลัก

     หมายเลข 13 นุช นุศรา ต้อมคำ อายุ 28 ปี ตำแหน่งตัวเซต

     หมายเลข 15 ปู มลิกา กันทอง อายุ 26 ปี ตำแหน่งบอลหลัก

     หมายเลข 16 ชมพู่ พรพรรณ เกิดปราชญ์ อายุ 20 ปี ตำแหน่งตัวเซต

     หมายเลข 18 เพียว อัจฉราพร คงยศ อายุ 18 ปี ตำแหน่งบอลหลัก

     หมายเลข 19 สน สนธยา แก้วบัณฑิต อายุ 22 ปี ตำแหน่งหัวเสา


ยังไงก็ให้กำลังใจกันด้วยนะจ้ะะ.

วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อึ้ง...คนไทยถูกดองด้วย "ฟอร์มาลีน" ทั้งที่ยังหายใจ

       ฟอร์มาลิน คืออะไร? 
     ฟอร์มาลินในทาง การแพทย์นั้นใช้ในการดองศพไม่ให้เน่าเปื่อย ใช้เป็นยาดับกลิ่นฆ่าเชื้อโรคเพราะทำให้โปรตีนแข็งตัว ทางด้านอุตสาหกรรมสิ่งทอจะใช้เป็นน้ำยาอาบผ้าไม่ให้ย่น นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคและเชื้อราในการเก็บรักษาธัญพืชหลังการ เก็บเกี่ยว และใช้เพื่อป้องกันแมลง แต่ไม่อนุญาตให้ใช้ในอาหารนะจ้ะ

     ฟอร์มาลีน มี 2 ชนิด คือ แบบกินได้และแบบกินไม่ได้ ชนิดที่กินได้แพงมาก โดยปกติแล้วเขาจะใส่ในอาหารจำพวกผัก ผลไม้ เพื่อให้สด กรอบ และอาหารจำพวกสัตว์น้ำแช่น้ำแข็งยิ่งเมืองไทยอากาษก็ร้อนยิ่งทำให้เน่าเร็ว จึงจำเป็นต้องใส่ฟอร์มาลีนด้วย อาจมีการขออนุญาติทางการให้ใช้ฟอร์มาลีนแต่เวลาขายจริงจะเอาฟอร์มาลีนแบบกินไม่ได้มาใช้ก่อนเพราะราคาถูก และยิ่งน้ำแข็งเขาจะใส่ฟอร์มาลีนเพื่อให้ละลายช้า

     เพราะฉะนั้นบางทีเวลาที่เขาผลิตนมผง เขาอาจจะแช่ไว้ในถังพลาสติกซึ่งเมื่อโดนความร้อน เมลามีนก็จะออกมาในนม เมื่อทำเป็นผง เมลามีนมันก็ยังอยู่ แล้วมันก็กลายเป็นฟอร์มาลีนให้เด็กกิน เด็กก็กลายเป็นเด็กดองไปในที่สุด รวมถึงพลาสติกทุกชนิดไม่ว่าจะอยู่ในรูปพลาสติกชั้นดีอย่างไรก็ตาม เมื่อโดนความร้อนจากเมลามีนมันก็จะหลั่งเป็นฟอร์มาลีนเข้ามาในอาหาร

     คนอีสานจะเป็นกันมากกว่าภาคอื่น เหตุผลเพราะว่าคนอีสานชอบกินข้าวเหนียวร้อนๆ วิธีทำให้ข้าวเหนียวร้อน อยู่นาน ก็คือเมื่อนึ่งสุกแล้ว เขาก็จะเอามาใส่ในกระติกน้ำแข็ง ซึ่งกระติกน้ำแข็งมันออกแบบมาเพื่อใส่น้ำแข็ง แต่นี่เอาไปใส่ข้าวเหนียว ฟอร์มาลีนจากกระติกน้ำแข็งก็เข้ามาอยู่ในข้าวเหนียวนอกจากนั้นเวลาจะกินก็จกมา แล้วก็ใส่ถุงพลาสติก

     แล้วทุกวันเรามักจะกินนมถั่วเหลือง เข้าใจว่าเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพนมถั่วเหลืองก็ใส่ในถุงพลาสติก เราก็สบายใจว่าเขาใส่ในถุงร้อน เจ้าถุงร้อนเขาแค่รับประกันว่าเมื่อใส่ของร้อน ถุงมันจะไม่แตก ไม่ได้ประกันว่าจะปลอดภัย แต่เราพอได้ยินว่ารับประกัน เราก็คิดจินตนาการไปเลยว่ามันคงปลอดภัย แต่ความจริงมันไม่ปลอดภัยมานานแล้ว

     แล้วก็อาหารจานด่วนที่ขายในร้านสะดวกซื้อ วัยรุ่นชอบมากเพราะง่ายแค่ยัดใส่ไมโครเวฟ แล้วก็เวฟออกมาก็กินได้เลย ในภาชนะที่เขาใส่อาหารมาเป็นพลาสติกทั้งสิ้น มีเจ้าไหนใส่เซรามิกมามีไหมครับ? จะได้ไปช่วยกันอุดหนุน ไม่มีนะ! พลาสติกเมื่อโดนความร้อนมันก็หลั่งฟอร์มาลีนออกมา ด้วยเหตุนี้คนไทยทั้งประเทศจึงได้สารฟอร์มาลีนมาพร้อมเพรียงกัน มันจึงระบาดไปทั่วประเทศแล้ว เพราะทุกคนก็กินแบบนี้กันหมด แต่เราก็พบว่ามีบางคนถึงแม้จะกินแบบนี้ กินก๋วยเตี๋ยวนอกบ้านชามพลาสติก กินข้าวต้มนอกบ้านที่ใส่ชามพลาสติก กินหม้อไฟ จริงอยู่หม้อไฟอาจจะเป็นหม้อโลหะ เพราะถ้าหม้อพลาสติกมันก็ละลาย หม้อไฟน่ะเป็นหม้อโลหะ แต่ตอนตักใส่ถ้วยแบ่ง ถ้วยแบ่งก็เป็นพลาสติกอีกนั่นแหละ

     ในบางคน 1-2% เราพบว่าเขาไม่มีฟอร์มาลีนตกค้าง เพราะว่าเขากินผักเยอะมาก แล้วผักที่มีกากใยมันอาจจะช่วยอุ้มฟอร์มาลีนไปทิ้ง ต่อมาเราก็พบอีกว่าในบางรายที่ไม่มีฟอร์มาลีนตกค้าง เพราะในตัวเขามีพยาธิมาสิบปีแล้ว เพราะฉะนั้นในรอบสิบปีนี้พยาธิมันแบ่งกินฟอร์มาลีนในตัวเขาไปตั้งเยอะ

     มีพยาธิอาจจะดีต่อฟอร์มาลีน แต่มันก็ไปเสีย ทางอื่น เพราะในงานวิจัยที่เราค้นคว้ามาก็พบว่าทั้งพยาธิทั้งเชื้อราทั้งไวรัสก็ เป็นต้นเหตุของมะเร็ง เวลาคุยในบ้านเราอาจจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่ตอนไปพูดที่ อเมริกา หมอฝรั่งเขาจะเอาเรื่องเหล่านี้ไปขยายผล ลองตรวจสอบดูว่าใช่ไหม? ถูกไหม? เขาถึงจะเผยแพร่ความรู้พวกนี้ออกมา จนตอนหลังบ้านเราถึงจะค่อยยอมรับกัน

     ที่มาของบทความ  : http://sz4m.com/b3758795 และหนังสือคู่สร้างคู่สม ฉบับวันที่ 2 สิงหาคม 2556

วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556

นี่คือวิธีการดำเนินการของโครงงานครับ

        และนี่ก็คือส่วนหนึ่งของโครงงานนะครับ คือขั้นตอนการดำเนินการ โดยที่มีวิธีการ ดังนี้
     1. เตรียมอุปกรณ์ดังรูป
         - กะละมังและน้ำเปล่าสะอาด
         - มีด
         - เขียง
         - ปลีกล้วย
         - ส้มแขก

     และหลังจากนั้นก็แกะเปลือกรอบนอกออก
     2. แล้วก็ใช้มีดและเขียงในการซอยปลีกล้วยให้เป็นชิ้นเล็ก ดังรูป

     3. แล้วก็ใส่ส้มแขกซอยลงในกะละมังที่มีน้ำและส้มแขกแห้งอยู่จ้ะ ดังรูป

     4. ในการทำโครงงานทางสมาชิกนั้นได้แข่ไว้ประมาณ 8 - 10 นาที แล้วสังเกตผล

     5. แล้วก็เทน้ำออก ตั้งทิ้งไว้ประมาณ 8 - 10 นาที เช่นกัน เพื่อให้ส้มแขกกลับมาดำใหม่ <เซ็นต์เซอร์เท้าที่มุมรูปจ้า 55.>

     6. แล้วกลับมาแช่ใหม่ตั้งทิ้งไว้ประมาณ 8 - 10 นาที เหมือนเดิม ดังรูป

   7. แล้วเทน้ำออกเพื่อสังเกตอีกครั้ง 


     ปลีกล้วยจะขาวขึ้น
 ปลีกล้วยขาวขึ้น

 ปลีกล้วยขาวขึ้น

 ปลีกล้วยขาวขึ้น

แต่ในการทำโครงงานเราจะใช้น้ำมะนาว น้ำเปรี้ยวๆ
น้ำเค็มๆก็ได้ แต่ในโครงงานเราจะใช้ส้มแขกแห้ง
เพื่อให้แตกต่างจากเดิม และในระดับที่สูงขึ้น ทางสมาชิก
จะได้ทำผลิตภัณฑ์สารสกัดจากส้มแขกในการยับยั้งการ
เกิดปฏิกิริยาเคมีของออกซิเจนที่มีผลต่อสารประกอบ
ฟีนอลในปลีกล้วย หวังว่าคงจะให้เห็นในเร็วนี้แหละจ้าาา.

วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ชนิดของกล้วย

   กล้วย ทั่วโลกมีกล้วยอยู่ประมาณ 200-300 ชนิด สำหรับชนิดของกล้วยที่มีในประเทศไทยนั้นได้เก็บรวบรวมพันธุ์ไว้เมื่อปี พ.ศ.2524 ชึ่งแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มดังนี้
     1. กล้วยป่าออร์นาตา ปลูกกันแถบภาคเหนือ นิยมเรียก "กล้วยบัว" หรือ บางท้องถิ่นเรียกว่า "กล้วยป่า" (ลำปาง)

     2. กล้วยป่าอะคิวมินาตา กล้วยในกลุ่มนี้มีแพร่หลายในประเทศไทย แต่ละถิ่นอาจเรียกชื่อต่างกัน เช่น ที่จังหวัดสงขลา เรียก "กล้วยทอง" ที่จังหวัดแพร่ จังหวัดอุตรดิตถ์และจังหวัดลำปาง เรียก "กล้วยแข"
     3. กล้วยในสายพันธุ์อะคิวมินาตา คัลทิฟาร์ กล้วยในกลุ่มนี้ มีหลายชนิด ได้แก่
     กล้วยเล็บมือนาง ปลูกกันมากในภาคใต้ บางท้องถิ่น เช่น จังหวัดนครศรีธรรมราช เรียก "กล้วยหมาก" จังหวัดพัทลุง เรียก "กล้วยทองหมาก" ส่วนจังหวัดนครสวรรค์ เรียก "กล้วยเล็บมือ"
     กล้วยทองร่วง ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เรียก "กล้วยไข่ทองร่วง" ที่จังหวัดสงขลา เรียก "ค่อมเบา"
     กล้วยไข่ ปลูกกันทั่วไป ที่จังหวัดสุรินทร์ เรียก "เจ็กบง"
     กล้วยหอม ปลูกในสวนหลังบ้านแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
     กล้วยหอมทองสาน ปลูกมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
     กล้วยสา ปลูกกันมากภาคใต้
     กล้วยนมสาว ปลูกกันมากภาคใต้
     กล้วยลาย ปลูกกันมากภาคใต้
     กล้วยทองกาบดำ ปลูกกันมากภาคใต้เช่นกัน
     กล้วยนาก กล้วยชนิดนี้มีการเรียกต่างกันหลายแห่ง ที่จังหวัดพะเยาและจังหวัดแพร่ เรียก "กล้วยน้ำครั่ง" จังหวัดนครศรีธรรมราชเรียก "กล้วยกุ้ง" ส่วนที่จังหวัดสุรินทร์ เรียก "กล้วยครั่ง"
     กล้วยหอมทอง ที่จังหวัดจันทบุรี เรียก "หอมทอง" นิยมรับประทานสดมากที่สุด
     กล้วยหอมเขียว ที่จังหวัดแพร่ เรียกกล้วยคร้าว จังหวัดนครศรีธรรมราช เรียก "กล้วยเขียวคอหักหรือกล้วยเขียว" ส่วนที่จังหวัดพะเยา เรียก "กล้วยหอมคร้าว"
     กล้วยกุ้งเขียว เป็นลูกผ่าเหล่าของกล้วยนาก ที่จังหวัดแพร่ เรียก "กล้วยหอมทอง"
     กล้วยหอมค่อม ที่จังหวัดพัทลุง และจังหวัดอุบลราชธานี เรียก "กล้วยเตี้ย" จังหวัดนครศรีธรรมราช เรียก
     กล้วยไข่บอง ที่จังหวัดนครราชสีมา เรียก "กล้วยไข่พระตะบอง"
     กล้วยดอกไม้ เมื่อสุกผลจะเป็นสีทอง จัดอยู่พวกเดียวกับกล้วยหอมทอง
     4. กล้วยป่าบาลบิเชียน่า นิยมเรียก "กล้วยตานี" มีแพร่หลายทั่วประเทศไทย ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เรียก "กล้วยพองลา" ส่วนที่จังหวัดแพร่และจังหวัดลำปาง เรียก "กล้วยป่า"
     5. กล้วยลูกผสมอะคิวมินาตากับบาลบิเชียน่า กล้วยในกลุ่มนี้ มีหลายชนิด ได้แก่
     กล้วยลังกา ที่จังหวัดพัทลุง เรียก "กล้วยจีน"
     กล้วยเงิน เป็นกล้วยที่หาพันธุ์ยาก มีเฉพาะที่จังหวัดสงขลา
     กล้วยน้ำพัด ที่จังหวัดจันทบุรี เรียก "กล้วยน้ำกาบดำ"
     กล้วยทองเดช มีการปลูกมากในจังหวัดสงขลา
     กล้วยนางนวล มีการปลูกมากในจังหวัดสงขลา
     กล้วยไข่โบราณ มีเฉพาะที่จังหวัดตราด เป็นกล้วยที่หาพันธุ์ยากเช่นกัน
     กล้วยน้ำ มีหลายถิ่นเรียกต่างกัน ที่จังหวัดนครนายก เรียก "กล้วยหอมนางนวล" จังหวัดนครศรีธรรมราช เรียก "กล้วยแก้ว" จังหวัดสกลนายกและจังหวัดชัยภูมิ เรียก "กล้วยหอม" จังหวัดยโสธร เรียก "กล้วยหอมเล็ก" และที่จังหวัดกาฬสินธุ์ เรียก "กล้วยหอมจันทร์"
     กล้วยขม เป็นกล้วยที่มีรสขมเช่นเดียวกับ ชื่อ ปลูกมากที่ภาคใต้
     กล้วยขมนาก ปลูกมากแภบภาถใต้
     กล้วยร้อยหวี หรือ กล้วยงวงช้าง ถิ่นกำเนิดอยู่ที่ประเทศอินโดนีเซีย นิยมเป็นไม้ประดับ
     กล้วยนมหมี ที่จังหวัดอ่างทอง เรียก "กล้วยแหกคุก"
     กล้วยปลวกนา มีการปลูกมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่จังหวัดนครนายก เรียก "กล้วยน้ำไทย" จังหวัดยโสธร เรียก "กล้วยส้ม" และจังหวัดอุบลราชธานี เรียก "กล้วยทิพย์ใหญ่"
     กล้วยน้ำว้า ปลูกกันอย่างแพร่หลายในประเทศไทย ที่จังหวัดแพร่ เรียก "กล้วยน้ำว้าเหลือง" จังหวัดเชียงราย เรียก "กล้วยใต้"
     กล้วยน้ำว้าค่อม มีลักษณะแคระ กลายพันธุ์มาจากกล้วยน้ำว้า
     กล้วยน้ำว้าขาว เนื้อของผลมีสีขาว กลายพันธุ์มาจากกล้วยน้ำว้า
     กล้วยน้ำว้าแดง เนื้อของผลมีสีแดง กลายพันธุ์มาจากกล้วยน้ำว้าเช่นกัน บางทีเรียกต่างกัน ที่จังหวัดชัยภูมิ เรียก "กล้วยอ่อง" จังหวัดนครสวรรค์ เรียก "กล้วยสุกไสแดง" ส่วนจังหวัดแพร่ เรียก "กล้วยน้ำว้าในออก"
     กล้วยเทพรส ที่จังหวัดเชียงราย เรียก "กล้วยทิพย์คุ้ม"
     กล้วยพญา มีการปลูกมากในจังหวัดสงขลา
     กล้วยส้ม ที่จังหวัดจันทบุรี เรียก "กล้วยหักมุก"


วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วีดีโอน่าสนใจเรื่องปลีกล้วย
รายการชีวิตชีวา ออกอากาศ 18/12/54

ที่มา : http://youtu.be/L-8WODu_vyQ

วีดีโอน่าสนใจของกล้วย
รายการชีวิตชีวา ออกอากาศ 4/12/54

ที่มา : http://youtu.be/3BtzogRmqlQ

วีดีโอน่าสนใจเรื่องปลีกล้วย

รายการชีวิตชีวา ออกอากาศ 11/12/54
ที่มา : http://youtu.be/r0QQleXTU6s

วีดีโอน่าสนใจเรื่องส้มแขก
รายการใครไม่ป่วย ยกมือขึ้น
ที่มา : http://youtu.be/vAkw3BH_RBQ

วีดีโอน่าสนใจเรื่องส้มแขก
รายการใครไม่ป่วย ยกมือขึ้น
ที่มา :  http://www.youtube.com/watch?v=rcrY_e5YkIM

แต่ก็ยังมีวีดีโอที่น่าสนใจอีกเยอะจ้ะ
ใน Youtube หาได้นะจ้ะ
ซึ่งส้มแขกก็มีประโยชน์หลายอย่าง
หากทุกคนเลือกที่จะใช้ประโยชน์มัน
ก็ต้องเลือกให้ถูกทางเด้อออ !

วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556

กล้วย...ผลไม้น่าทาน ^^


กล้วย  เป็นพรรณไม้ล้มลุกในสกุล Musa มีหลายชนิดในสกุล บางชนิดก็ออกหน่อแต่ว่าบางชนิดก็ไม่ออกหน่อ ใบแบนยาวใหญ่ ก้านใบตอนล่างเป็นกาบยาวหุ้มห่อซ้อนกันเป็นลำต้น ออกดอกที่ปลายลำต้นเป็น ปลี และมักยาวเป็นงวง มีลูกเป็นหวี ๆ รวมเรียกว่า เครือ พืชบางชนิดมีลำต้นคล้ายปาล์ม ออกใบเรียงกันเป็นแถวทำนองพัดคลี่ คล้ายใบกล้วย เช่น กล้วยพัด (Ravenala madagascariensis) ทว่าความจริงแล้วเป็นพืชในสกุลอื่น ที่มิใช่ทั้งปาล์มและกล้วย


ลำต้น
กล้วยมีลำต้นอยู่ใต้ดินเรียกว่า หัว หรือ เหง้า (rhizome) ที่หัวมีตา (bud) ซึ่งจะเจริญเป็นต้นเกิด หน่อ (sucker) หลายหน่อ เรียกว่า การแตกกอ  หน่อที่เกิด หรือต้นที่เห็นอยู่เหนือดิน ความจริงแล้วมิใช่ลำต้น เราเรียกว่า ลำต้นเทียม(pseudostem) ส่วนนี้เกิดจากการอัดกันแน่นของกาบใบ ที่เกิดจากจุดเจริญของลำต้นใต้ดิน กาบใบจะชูก้านใบ และใบ และที่จุดเจริญนี้ จะมีการเจริญเป็นดอกตามขึ้นมาหลังจากสิ้นสุดการเจริญของใบ  ใบสุดท้ายก่อนการเกิดดอก เรียกว่า ใบธง

ใบสุดท้ายก่อนเกิดดอก เรียกว่า ใบธง
ดอก
ดอกของกล้วยออกเป็นช่อ (inflorescence) ในช่อดอกยังมีกลุ่มของช่อดอกย่อยเป็นกลุ่มๆ  ระหว่างกลุ่มของช่อดอกย่อยแต่ละช่อจะมีกลีบประดับ หรือที่เราเรียกกันว่า กาบปลี (bract) มีสีม่วงแดงกั้นไว้ กลุ่มดอกเพศเมียอยู่ที่โคน และกลุ่มดอกเพศผู้อยู่ที่ปลาย เป็นส่วนที่เราเรียกว่า หัวปลี (male bud) ระหว่างกลุ่มดอกเพศเมีย และดอกเพศผู้ มีดอกกะเทย แต่บางพันธุ์ก็ไม่มี ในช่อดอกย่อยแต่ละช่อมีดอกเรียงซ้อนกันอยู่ ๒ แถว ถ้าเป็นดอกเพศเมีย ดอกเหล่านี้จะเจริญต่อไปเป็นผล

ดอกออกเป็นช่อ โดยมีกาบปลีสีม่วงแดงกั้นไว้ กลุ่มดอกเพศเมียอยู่ที่โคน ส่วนกลุ่มดอกเพศผู้อยู่ที่ปลาย

ผล 

ผลกล้วยเกิดจากดอกเพศเมีย ซึ่งอยู่ที่โคน กลุ่มของดอกเพศเมีย ๑ กลุ่ม เจริญเป็นผล  เรียกว่า ๑ หวี ช่อดอกเจริญเป็น ๑  เครือ ดังนั้นกล้วย ๑ เครืออาจมี ๒ - ๓ หวี หรือมากกว่า ๑๐ หวี ทั้งนี้แล้วแต่พันธุ์กล้วยและการดูแล ผลของกล้วยมีการเจริญได้โดยไม่ต้องผสมพันธุ์ จึงทำให้กล้วยส่วนใหญ่ไม่มีเมล็ด



เมล็ด

เมล็ดกล้วยมีลักษณะกลมเล็ก บางพันธุ์มีขนาดใหญ่ เปลือกหนา แข็ง มีสีดำ



ราก

เป็นระบบรากฝอย แผ่ไปทางด้านกว้างมากกว่าทางแนวดิ่งลึก



ใบ
ใบกล้วยมีลักษณะเป็นแผ่นใบใหญ่ มีความกว้างประมาณ ๗๐ - ๙๐ เซนติเมตร ความยาว ๑.๗ - ๒.๕ เมตร ปลายใบมน รูปใบขอบขนาน โคนใบมน และแผ่นใบมีสีเขียว



ประโยชน์ของกล้วย
1. การใช้ประโยชน์ในการบริโภค
กล้วยเป็นผลไม้ที่มีเปลือกหุ้มเช่นเดียวกับผลไม้อื่นๆ แต่วิธีการปอกเปลือกกล้วยนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือ เพียงใช้มือเด็ดปลายหรือจุก ก็สามารถปอกเปลือกได้ด้วยมือและรับประทานได้ทันที จึงเป็นผลไม้ที่รับประทานง่าย ดังคำโบราณว่า "ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก" นอกจากปอกเปลือกง่ายแล้ว กล้วยสุกเมื่อรับประทานแล้ว ก็จะลื่นลงกระเพาะได้ง่าย และย่อยง่าย ด้วยเหตุที่กล้วยลื่นลงกระเพาะได้ง่าย ทำให้บางคนไม่ค่อยเคี้ยวกล้วยซึ่งเป็นวิธีการที่ผิด การรับประทานกล้วยจำเป็นต้องเคี้ยวให้ละเอียด เพราะกล้วยมีแป้งร้อยละ ๒๐ - ๒๕ ของเนื้อกล้วย ถ้าเคี้ยวไม่ละเอียด น้ำย่อยในกระเพาะต้องทำงานหนัก หากย่อยไม่ทันกล้วยจะอืดในกระเพาะ อย่างไรก็ตาม กระเพาะของคนใช้เวลาในการย่อยกล้วยสั้นกว่าการย่อยส้ม นม กะหล่ำปลี หรือแอปเปิล ดังนั้นคนไทยจึงนิยมใช้กล้วยที่ขูดเอาแต่เนื้อ ไม่เอาไส้ บดละเอียดให้ทารกรับประทาน นอกจากทารกแล้ว คนชราก็รับประทานกล้วยได้ดีเช่นกัน ในกรณีคนหนุ่มสาว กล้วยเหมาะสำหรับคนที่ต้องการลดความอ้วน เนื่องจากกล้วยมีคุณค่าทางอาหารสูงพอๆ กับมันฝรั่ง แต่มีปริมาณไขมัน คอเลสเตอรอล และเกลือแร่ต่ำ กล้วยมีโซเดียมเพียงเล็กน้อย แต่มีโพแทสเซียมสูง การมีโพแทสเซียมสูงนี้จะช่วยลดความดันโลหิตลงได้ ในประเทศอินเดียมีความเชื่อว่า หากรับประทานกล้วย ๒ ผลต่อวัน จะสามารถลดความดันโลหิตได้ถึงร้อยละ ๑๐ ภายในระยะเวลา ๑ สัปดาห์

กล้วยยังเป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร และท้องเสียบ่อย เพราะสามารถช่วยลดแก๊สในกระเพาะอาหารได้ กล้วยเมื่อยังดิบจะมีแป้งมาก แต่เมื่อสุก แป้งจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาล ดังนั้นหากท้องเดิน การกินกล้วยดิบจะช่วยทำให้อาการท้องเดินหยุดได้ และเมื่อเป็นโรคกระเพาะ ให้กินกล้วยที่สุกแล้ว สำหรับกล้วยที่ทำให้สุกด้วยความร้อน วิตามินจะลดลง

2. การใช้ประโยชน์ในพิธีกรรมต่างๆ และในชีวิตประจำวัน
- ในพิธีทางศาสนา เช่น การเทศน์มหาชาติ และการทอดกฐิน มักใช้ต้นกล้วยประดับธรรมาสน์ และองค์กฐิน
- ในพิธีตั้งขันข้าว หรือค่าบูชาครูหมอตำแย สำหรับผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ และไปขอให้หมอตำแยทำคลอดให้ จะต้องใช้กล้วย ๑ หวี พร้อมทั้งข้าวสาร หมากพลู ธูปเทียนสำหรับการทำพิธีบูชาครูก่อนคลอด และเมื่อคลอดแล้ว จะต้องอยู่ไฟ ก็ยังใช้ต้นกล้วยทำเป็นท่อนล้อมเตาไฟ ป้องกันการลามของไฟ
- ในพิธีทำขวัญเด็ก เมื่อเด็กอายุได้ ๑ เดือน กับ ๑ วัน มีการทำขวัญเด็กและโกนผมไฟ จะมีกล้วย ๑ หวี เป็นส่วนประกอบในพิธีด้วย
- ในพิธีแต่งงาน มักมีต้นกล้วยและต้นอ้อยในขบวนขันหมาก พร้อมทั้งมีขนมกล้วย และกล้วยทั้งหวี เป็นการเซ่นไหว้เทวดาและบรรพบุรุษ
ในการปลูกบ้าน เมื่อมีพิธีทำขวัญยกเสาเอก จะใช้หน่อกล้วยผูกมัดไว้ที่ปลายเสาร่วมกับต้นอ้อย และเมื่อเสร็จพิธี ก็จะมีการลาต้นกล้วยและต้นอ้อยนั้น นำมาปลูกไว้ในบริเวณบ้าน จากนั้นประมาณ ๑ ปี หรือเมื่อปลูกบ้านเสร็จแล้วพร้อมอยู่อาศัย ก็มีกล้วยไว้กินพอดี
- ในงานศพ ในสมัยโบราณ มีการนำใบตอง มารองศพ ก่อนนำศพวางลงในโลงนอกจากนี้ ใบตองยังมีบทบาทสำคัญมากในพิธีกรรมต่างๆ โดยการนำมาทำกระทงใส่ของ ใส่ดอกไม้ และประดิษฐ์เป็นกระทง บายศรี
- ในชีวิตประจำวัน ใช้ใบตองในการห่อผักสดและอาหาร เนื่องจากใบตองสดมีความชื้น ดังนั้นเมื่อใช้ห่อผักสดหรืออาหาร ความชื้นจะช่วยรักษาผักหรืออาหารให้สดอยู่เสมอ นอกจากนี้ใบตองยังทนทานต่อความเย็นและความร้อน ดังนั้นเมื่อนำใบตองห่ออาหารแล้วเอาไปปิ้ง นึ่ง ต้ม ใบตองก็จะไม่สลายหรือละลายเหมือนเช่นพลาสติก จึงมีอาหารหลายอย่างที่ห่อใบตองแล้วนำไปนึ่ง เช่น ห่อหมก ข้าวต้มผัด ขนมกล้วย ขนมตาล ขนมใส่ไส้ หรือเอาไปปิ้ง เช่น ข้าวเหนียวปิ้ง หรือนำไปต้ม เช่น ข้าวต้มมัด หรือข้าวต้มจิ้ม อาหารเหล่านี้เมื่อนำไปต้ม ปิ้ง หรือนึ่งแล้ว ยังทำให้เกิดความหอมของใบตองอีกด้วย สำหรับใบตองแห้ง นำมาใช้ทำกระทงเพื่อใส่อาหาร ห่อกะละแม มวนบุหรี่ โดยใบตองแห้งก็จะมีกลิ่นหอมเช่นกัน ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้มีการทดลองนำเอาใบตองแห้งมาอัดกันแน่นหลายๆ ชั้น ทำเป็นภาชนะใส่ของแทนการใช้โฟมได้อีกด้วย





    วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

    มีผลไม้อะไรอีกนะ ที่เมื่อปอกตั้งไว้แล้วมันดำ !


    ผลไม้ที่เมื่อปอกตั้งไว้แล้วดำก็คือ
    - แอปเปิ้ล


    - สาลี่
     

    - ฝรั่ง
     

    - ชมพู่
     

     - ปลีกล้วย



     แต่ที่ผลไม้ดำก็เพราะว่าในผลไม้นั้น
    มีสารประกอบฟีนอลอยู่
    ซึ่งจะทำปฏิกิริยาเคมีกับออกซิเจนในอากาศ
    โดยเป็นที่มาของชื่อโครงงานไงล่ะจ๊ะ

    สูตร

    <อย่าลืมกดถูกใจด้วยจ้ะ>[อย่าลืมกดถูกใจด้วย]<กดถูกใจด้วยน๊ะ>